KPI vs OKR เจาะลึกความแตกต่างระหว่างสองตัวชี้วัดดัง
KPI กับ OKR ต่างกันอย่างไร? นักการตลาดควรโฟกัสอันไหน? ธุรกิจประเภทไหนต้องใช้อะไรเป็นหลัก? บทความนี้มีคำตอบ
spcharistree

KPI vs OKR เจาะลึกความแตกต่างระหว่างสองตัวชี้วัดดัง

KPI กับ OKR ต่างกันอย่างไร? นักการตลาดควรโฟกัสอันไหน? ธุรกิจประเภทไหนต้องใช้อะไรเป็นหลัก? บทความนี้มีคำตอบ

KPI (Key Performance Indicator)

คือดัชนีชี้วัดผลงานหรือความสำเร็จของงาน เป็นรูปแบบการประเมินความความสามารถในการการติดตามผลการดำเนินงานของพนักงานที่หลายบริษัทใหญ่เลือกใช้  ซึ่งมักจะเป็นเป้าหมายใหญ่ เป้าหมายระยะยาวที่ถูกตั้งขึ้นเป็นต่อปีหรือต่อไตรมาส เน้นการตั้งเป้าหมายที่ใช้งานได้จริงเเละเป็นเป้าหมายที่ชี้วัดได้ถึงความก้าวหน้าของคนในทีมหรือคนในองค์กรโดยเฉพาะ การตั้งKPI นี้มีขึ้นเพื่อช่วยให้หัวหน้างานมองเห็นประสิทธิภาพการทำงานรวมของพนักงานเพื่อพัฒนาปรับปรุงศักยภาพของทีม   โดยส่วนใหญ่เมื่อบริษัทตั้ง KPI แล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่จะมีการติดตามผลของ  KPI ตัวนั้นอย่างเคร่งครัด   แต่ละบริษัทไม่จำเป็นต้องมี KPI ที่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าองค์กรนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องไหนเป็นลำดับต้น

ตัวอย่าง KPI ของนักการตลาด

OKR (Objectives and Key Results)

เป็นกรอบการกำหนดเป้าหมาย มุ่งเน้นไปที่การกำหนดวัตถุประสงค์และผลลัพท์ที่จะวัด นิยมใช้ในการกำหนดเป้าหมายระยะสั้น ยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ โดยอาจเน้นการตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย แต่ยังคงอยู่ในแนวทางเดียวกันกับ KPI ที่ตั้งไว้ ส่วนใหญ่มักจะใช้สำหรับการตั้งเป้าหมายของบริษัทหรือทีม แต่จะไม่ได้ใช้ในการประเมินงานและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานแต่ละคนเหมือน KPI

ตัวอย่างของ OKR ของนักการตลาด

โอ้โหแชท ระบบCRM ระบบOmnichannel

ต้องบอกว่าไม่มีตัวชี้วัดไหนที่ดีกว่ากันค่ะ เราแนะนำว่าบริษัทควรตัดสินใจเลือกใช้ตัวชี้วัดที่เหมาะกับเป้าหมายและสอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์กรตัวเองเป็นหลัก บางองค์กรอาจจะเลือกวัดผลการทำงานของทีมด้วย KPI เพียงแค่อย่างเดียว หรืออาจใช้เพียงแค่ OKR ในการวัดเพียงอย่างเดียวก็ย่อมได้  เพียงแต่ต้องให้มั่นใจว่าจะใช้วิธีการปรับเปลี่ยนและเลือกให้เหมาะกับองค์กรมากที่สุดเพื่อลดความยุ่งยากในการทำงานสำหรับองค์ไหนที่กำลังสงสัยอยู่ว่าแล้วควรจะเลือก KPI หรือ OKR ไหนดี  หรือสายงานไหนควรโฟกัสอะไรเป็นหลัก มาดูกันได้เลยค่ะ

1. ธุรกิจออนไลน์

ในกรณีของร้านค้าออนไลน์หรือธุรกิจออนไลน์ ควรให้ความสำคัญกับทั้ง Key Performance Indicators (KPIs) และ Objectives and Key Results (OKRs) เพื่อวัดและติดตามผลการดำเนินงาน โดยเราสามารถเลือก KPIs และ OKRs ที่เหมาะสมสำหรับร้านค้าออนไลน์ได้ตามต้องการเฉพาะของธุรกิจนั้นๆ

1.1 Key Performance Indicators (KPIs) ที่เหมาะสำหรับร้านค้าออนไลน์

1.2 Objectives and Key Results (OKRs) ที่เหมาะสำหรับร้านค้าออนไลน์

2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ในกรณีของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ควรให้ความสำคัญกับทั้ง Key Performance Indicators (KPIs) และ Objectives and Key Results (OKRs) เพื่อวัดและติดตามผลการดำเนินงานของธุรกิจ โดยเราได้รวบรวมตัวอย่างของ KPIs และ OKRs ที่สามารถใช้งานได้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

2.1 Key Performance Indicators (KPIs) ที่เหมาะสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์:

2.2 Objectives and Key Results (OKRs) ที่เหมาะสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์:

3. คลินิคเสริมความงาม

เพื่อความเหมาะสมสำหรับธุรกิจคลินิกเสริมความงามเราได้รวบรวมตัวอย่างไว้เป็นแนวทางสำหรับสายธุรกิจเสริมความงามทั้ง KPI และ OKR แล้วด้านล่างนี้

3.1 Key Performance Indicators (KPIs) ที่เหมาะสำหรับคลินิกเสริมความงาม:

3.2 Objectives and Key Results (OKRs) ที่เหมาะสำหรับคลินิกเสริมความงาม:

4. เอเจนซี่โฆษณา

เพื่อวัดและติดตามผลการดำเนินงานของธุรกิจเอเจนซี่โฆษณา สามารถเลือก KPIs และ OKRs ที่เหมาะสมสำหรับเอเจนซี่โฆษณาได้ตามวัตถุประสงค์ของธุรกิจทั้ง KPIs และ OKRs ที่เราได้รวบรวมไว้เพื่อเป็นตัวอย่างที่สามารถเป็นแนวทางให้ใช้งานได้ในเอเจนซี่โฆษณา

4.1 Key Performance Indicators (KPIs) ที่เหมาะสำหรับเอเจนซี่โฆษณา:

4.2  Objectives and Key Results (OKRs) ที่เหมาะสำหรับเอเจนซี่โฆษณา:

5. ทีมขาย

หลายๆคนคงเข้าใจว่าทีมขายควรให้ความสำคัญแค่ KPI แต่ในความเป็นจริงแล้วทีมขายสามรถให้ความสำคัญได้ทั้ง Key Performance Indicators (KPIs) และ Objectives and Key Results (OKRs) เพียงแต่ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะวัด โดยเราได้รวบรวมตัวอย่างไว้ให้สำหรับทีมขายโดยเฉพาะแล้วที่ด้านล่าง

5.1 Key Performance Indicators (KPIs) ที่เหมาะสำหรับทีมขาย:

5.2 Objectives and Key Results (OKRs) ที่เหมาะสำหรับทีมขาย:

เชื่อว่าอ่านมาถึงตรงนี้คงเข้าใจความแตกต่างของ KPI และ OKR กันแล้วใช่มั้ยคะ เข้าใจว่าอาจจะดูซับซ้อนเกินความจำเป็นหากต้องใช้ทั้งสองอันรวมกัน แต่มั่นใจได้เลยว่าการใช้ตัวชี้วัดทั้งสองชนิดพร้อมกัน จะสามารถเพิ่มศักยภาพองค์รวมของทีมและส่งให้เกิดผลลัพท์ที่ดีกับบริษัทได้อย่างแน่นอน

สำหรับธุรกิจไหนที่มี KPI หรือ OKR ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลลูกค้า ต้องการเพิ่ม Customer Satisfaction หรือต้องการสร้าง Customer Experience ที่ลืมไม่ลงจนลูกค้ากลับมาซื้อและใช้บริการซำ   ระบบของโอ้โหแชทสามารถช่วยให้การวัดผลของคุณแม่นยำมากยิ่งขึ้น ช่วยลดความล่าช้าและยุ่งยากโดยไม่จำเป็น เพราะระบบของ Oho Chat นั้นมีแดชบอร์ด ที่บอกสถิติว่า

สถิติต่างๆ นี้จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจ ผู้จัดการ หรือแอดมินสามารถวัดผลการทำงานของพนักงานในทีมได้อย่างง่ายดาย ไม่ซ้ำซ้อน นำไปวิเคราะห์ตลาดได้ง่ายขึ้น โดยระบบของโอ้โหแชทนั้นสามารถทดลองใช้ฟรีได้เลย 14 วัน สามารถเชื่อม api กับระบบอื่นได้ หากสนใจทดลอง สามารถแชทสอบถามผู้เชี่ยวชาญของเรา หรือนัดสาธิตระบบได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหรือคลิก

สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่า Customer Experience คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร รวมถึงบทความที่เกี่ยวข้องกับ KPI โดยเฉพาะสามรถอ่านบทความของเราเพิ่มเติมได้ที่ด้านล่างนี้เลยค่ะ

พร้อมแล้ว เริ่มใช้งานฟรี!
ทดลองใช้ฟรี คลิก!
เชื่อมต่อเพจของคุณฟรีทันที!